ผู้เขียน หัวข้อ: คืนนั้น  (อ่าน 7934 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

คืนนั้น
« เมื่อ: 26/มิ.ย./13 15:16น. »




ฉันเดินเดี่ยวเที่ยวออกนอกชานเมือง
ไฟรองเรืองทิ้งร้างไว้ทางหลัง
ตากน้ำค้างหนาวใจในวนวัง
หนีคนคลั่งเมืองทรามลุกเป็นไฟ

ฉันมาหาความหมายให้ชีวิต
พรหมลิขิตผลิดอกนอกเมืองใหญ่
รอทักทายไอหนาวแห่งราวไพร
ยามเรไรกล่อมทุ่งเมื่อรุ่งราง

ออกมาหาแววตาอันอ่อนโยน
อันจับโพลนเด่นด้าวคราวฟ้าสาง
ฟังเสียงเพรียกสายลมอันเบาบาง
คล้ายอ้างว้างพัดแผ่วแว่วมาไกล

ทอดสายตามองคุ้งทุ่งรวงข้าว
ในเรียวตาพรายดาวพราวไสว
เผื่อเวลาเงียบงันผันความนัย
เอาดวงใจระบายฟ้าคณานับ

ซุกตัวนอนซ่อนกายใต้เงาจันทร์
กอความฝันผลิใบในเดือนดับ
กล่าวอำลาราตรีค่อยหรี่ลับ
รอระยับอุษาโยคโลกขาดแคลน

ฉันตามหาดวงแสงลำแรงน้อย
ของหิ่งห้อยพราวพรายหลายล้านแสน
ยามกระพริบล้อจันทร์ปันเขตแดน
ของรอยต่อเมืองแมนแลป่าพฤกษ์

มาสานฝันชาวดินที่สิ้นหวัง
เกี่ยวพลังห่มใจในยามดึก
จุดลำแสงเจือจุนอุ่นสำนึก
จากส่วนลึกหัวใจให้เพียงพอ

มาฟังเสียงสะอื้นของคืนหม่น
ของผู้คนพลัดพรากจากห้องหอ
ผิงไออุ่นกองไฟใต้ไผ่กอ
ได้หยอกล้อยิ้มเย้าเคล้าน้ำตา

หยาดน้ำค้างหยดรินกลิ่นความเศร้า
แตกดอกร้าวร่วงแล้วทั้งแนวป่า
จั๊กจั่นสนั่นเพรียกเรียกลมพา
ร่วมกล่อมหล้ารัวโรยเพลงโปรยไพร

ท่ามแผ่นฟ้าดาษดาววาวแวววับ
น้ำค้างจับหยอกเอินเนินไศล
ดุเหว่าแว่วหวานหวิวผิวเพลงใจ
อยากร่ำไห้สะอื้นซบไม่จบสิ้น

มารอนแรมคนเดียวเทียวเก็บฝัน
หวังกำนัลคนไกลในถวิล
ทั้งโลกกว้างตรงหน้ามายลยิน
น้ำตารินไหลอุ่นจนรุ่งราง

หากวันพรุ่ง...ดอกไม้จักตายถม
กลับไปสู่กระแสสังคมระทมถาง
เมื่อเรี่ยวแรงเหือดหาย ณ ปลายทาง
ฟ้ากว่ากว้างกลับแคบลง...ณ ตรงนั้น

-----------------------------
รำลึกถึงขอบฟ้ากว้าง ณ มุมหนึ่ง ของเกาะหลีเปะ


[ Invalid YouTube link ]
ขอจันทร์
คำร้อง เสาวลักษณ์ ลีลาบุตร
ทำนอง อภิไชย เย็นพูนสุข
ขับร้องกันยารัตน์ ติยะพรไชย(ลุลา)

.....แม้บทกลอนและบทเพลงยังห่างกัน แต่ชอบสีสันที่ท้องฟ้า...ยังมีจันทร์..ทำให้อารมณ์ผสมธรรมชาติไปด้วยกันได้.....

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: http://www.plengpakjai.net/index.php?topic=16484
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26/มิ.ย./13 15:31น. โดย ลุงชัย นรา »